S-MAN แนะนำ:
แม้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีราคาแพงกว่า แต่ถ้าคำนวณต่อกิโลเมตรแล้ว มักคุ้มค่ากว่าการใช้น้ำมันเครื่องธรรมดาในระยะยาว
การเลือกใช้น้ำมันเครื่องอย่างถูกวิธี
ความรู้พื้นฐานที่เจ้าของรถทุกคนควรเข้าใจ
น้ำมันเครื่องเป็นหนึ่งในของเหลวที่มีบทบาทสำคัญที่สุดภายในเครื่องยนต์ หน้าที่ของมันไม่ใช่เพียงแค่หล่อลื่น ชิ้นส่วนโลหะเท่านั้น แต่ยังช่วย ระบายความร้อน ชะล้างสิ่งสกปรก และ ป้องกันการสึกหรออีกด้วย
ดังนั้น การเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจึงมีผลโดยตรงต่อกำลังเครื่องยนต์ ความประหยัดน้ำมัน และอายุการใช้งานของรถ การใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพต่ำ หรือการยืดระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายนานเกินไป อาจดูเหมือนประหยัดระยะสั้น แต่แท้จริงแล้วเป็นต้นเหตุให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติอย่างมาก

ทำไมคุณภาพของน้ำมันเครื่องจึงสำคัญ
ช่วยลดการสึกหรอของชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องยนต์
- น้ำมันเครื่องคุณภาพดีจะสร้างชั้นฟิล์มบาง ๆ ป้องกันการสัมผัสโดยตรงระหว่างชิ้นส่วนโลหะที่เคลื่อนที่
- ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานเรียบ ลื่น เสียงเบา
ช่วยควบคุมอุณหภูมิของเครื่องยนต์
- น้ำมันเครื่องจะดูดซับความร้อนส่วนเกินจากจุดเสียดสี แล้วนำไปกระจายออกผ่านระบบหล่อเย็น
- หากน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ ความสามารถในการระบายความร้อนจะลดลง ทำให้เครื่องยนต์ร้อนเกินไป
ช่วยชะล้างคราบสกปรกและเศษโลหะภายในเครื่องยนต์
- น้ำมันเครื่องจะพาเศษโลหะและคราบเขม่าจากการเผาไหม้ออกจากระบบ
- หากไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะ คราบเหล่านี้จะสะสมกลายเป็นตะกอนอุดตัน
ช่วยป้องกันการเกิดสนิมและออกซิเดชัน
- สารเพิ่มคุณภาพ (Additives) ภายในน้ำมันเครื่องทำหน้าที่ป้องกันการเกิดสนิมในสภาวะความชื้นสูง
หลักการเลือกน้ำมันเครื่อง 3 ปัจจัยสำคัญ
การเลือกน้ำมันเครื่องไม่ควรพิจารณาเพียง ยี่ห้อหรือ ราคาเท่านั้น แต่ต้องดูให้ครบทั้ง 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้
1.ชนิดของน้ำมันเครื่อง (Type)
น้ำมันเครื่องแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักตามกระบวนการผลิต ได้แก่
-
น้ำมันเครื่องธรรมดา (Mineral Oil)
ผลิตจากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมโดยตรง เหมาะกับรถทั่วไปที่ใช้งานไม่หนัก
ราคาโดยเฉลี่ย: 300–600 บาทต่อ 4-5 ลิตร -
น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic)
ผสมน้ำมันธรรมดากับน้ำมันสังเคราะห์ เพื่อให้ได้สมดุลระหว่างราคาและคุณภาพ
ราคาโดยเฉลี่ย: 500–800 บาทต่อ 4-5 ลิตร -
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ (Fully Synthetic)
ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่ผ่านการสังเคราะห์ 100%
ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการหล่อลื่นและทนความร้อนสูง เหมาะกับเครื่องยนต์สมรรถนะสูง
ราคาโดยเฉลี่ย: 800–2,200 บาทต่อ 4-5 ลิตร
🔹 ข้อสังเกต: น้ำมันเครื่องสังเคราะห์มีอายุการใช้งานยาวกว่า และคงประสิทธิภาพได้ดีกว่าในอุณหภูมิสูงหรือต่ำ
2. เกรดคุณภาพ (API Service Classification)
API (American Petroleum Institute) เป็นมาตรฐานที่บ่งบอกคุณภาพของน้ำมันเครื่อง
ระบุด้วยอักษร S (สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน) และ C (สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล)
-
ตัวอักษรที่สองบ่งบอกระดับคุณภาพ ยิ่งตัวอักษรหลังอยู่ลำดับสูง แปลว่าคุณภาพสูงกว่า เช่น
- API SJ / SL / SM / SN สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
- API CH-4 / CI-4 / CJ-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
🔹 คำแนะนำ: สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ควรเลือกตั้งแต่ API SN หรือสูงกว่า
3. ความหนืด (Viscosity Grade)
ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะแสดงในรูปแบบเช่น SAE 10W-40, SAE 5W-30
-
ตัวเลขหน้าตัว “W” หมายถึงความหนืดในอุณหภูมิต่ำ
(ตัวเลขยิ่งน้อย แปลว่าไหลได้ดีตอนเครื่องเย็น เช่น สตาร์ทง่ายในตอนเช้า) -
ตัวเลขหลัง “W” หมายถึงความหนืดขณะเครื่องร้อน
(ตัวเลขสูงช่วยคงฟิล์มหล่อลื่นได้ดีในอุณหภูมิสูง)
🔹 คำแนะนำ:
เลือกค่าความหนืดตามคู่มือรถ เช่น 5W-30 หรือ 10W-40 และอย่าผสมเกรดน้ำมันต่างชนิดกัน เพราะอาจทำให้คุณสมบัติเสีย
ระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตรงตามระยะ คือหัวใจของการดูแลเครื่องยนต์ โดยทั่วไป มีคำแนะนำดังนี้
| สภาพการใช้งาน | ระยะทางแนะนำ | หมายเหตุ |
| สภาพปกติ | ทุก ๆ 8,000–10,000 กม. | รถใช้งานทั่วไป |
| การจราจรติดขัดมาก | ทุก ๆ 6,000–8,000 กม. | รถในเมือง, รถบรรทุกเบา |
| สภาพฝุ่นมากหรือขับทางลูกรัง | ทุก ๆ 5,000–6,000 กม. | รถใช้งานหนัก เช่น รถกระบะ |
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ & สังเคราะห์เทียม ต่างกันอย่างไร
แม้บางยี่ห้อจะระบุว่าเป็น “สังเคราะห์ 100%” แต่แท้จริงแล้ว อาจมีน้ำมันธรรมดาผสมอยู่เล็กน้อยเพื่อช่วยละลายสารเพิ่มคุณภาพ (Additives)
ซึ่งไม่ถือว่าเป็น “สังเคราะห์แท้ทุกหยด”
วิธีเลือกซื้อให้ปลอดภัย:
- เลือกจากแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ เช่น ศูนย์บริการมาตรฐาน หรือดีลเลอร์แบรนด์ใหญ่
- ตรวจสอบฉลาก API / SAE ให้ชัดเจน
- หลีกเลี่ยงน้ำมันเครื่องที่ไม่มีระบุวันผลิต หรือไม่มีสัญลักษณ์รับรองคุณภาพ