เคล็ดลับจาก S-MAN:
✅ ตรวจสอบคู่มือรถก่อนเปลี่ยนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกครั้ง
✅ อย่าสลับชนิดน้ำมันโดยไม่แน่ใจ เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย
✅ การเลือกน้ำมันให้เหมาะกับรถ ไม่เพียงช่วยประหยัด แต่ยังยืดอายุเครื่องยนต์ได้อีกด้วย
รู้จัก “ชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิง”
เติมให้ถูก รถก็วิ่งดี ประหยัด และปลอดภัยกว่า!
ปัจจุบันมีน้ำมันหลายประเภทให้เลือกเติม ทั้งแบบทั่วไปและพลังงานทดแทน ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วันนี้ S-MAN จะพามาทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ ว่า น้ำมันแต่ละชนิดต่างกันอย่างไร และเหมาะกับรถแบบไหน

กลุ่มที่ 1 : น้ำมันทดแทนน้ำมันเบนซิน
กลุ่มนี้ใช้กับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน มีส่วนผสมของ เอทานอล (Ethanol) ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ที่ได้จากพืช เช่น อ้อย มันสำปะหลัง หรือกากน้ำตาล
คำว่า E ในชื่อ เช่น E20 หรือ E85 มาจาก Ethanol หมายถึงสัดส่วนของเอทานอลที่ผสมอยู่ในน้ำมันเบนซินนั่นเอง
แก๊สโซฮอล์ 91
- ผสมเอทานอล 10% กับน้ำมันเบนซิน 90%
- เหมาะกับรถยนต์ที่เคยเติมเบนซิน 91 มาก่อน
- รถยนต์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้
แก๊สโซฮอล์ 95
- สัดส่วนเอทานอล 10% เช่นเดียวกับ 91
- ใช้ทดแทนน้ำมันเบนซิน 95 ได้ทันที
- เหมาะกับรถที่ผลิตตั้งแต่ปี 1995 ขึ้นไป (ระบบหัวฉีด)
- เติมสลับกับเบนซิน 95 ได้ ไม่ต้องรอให้น้ำมันหมดถัง
แก๊สโซฮอล์ E20
- ผสมเอทานอล 20% และน้ำมันเบนซิน 80%
- ใช้ได้เฉพาะ “รถที่ระบุว่าสามารถใช้น้ำมัน E20 ได้”
- รถยนต์รุ่นใหม่ตั้งแต่ปี 2551 ขึ้นไปมักรองรับ
E85
- ผสมเอทานอลสูงถึง 85%
- ต้องใช้กับ “รถที่ออกแบบมาสำหรับ E85 โดยเฉพาะ (Flex Fuel Vehicle)”
- สามารถเติมได้ตั้งแต่เบนซินธรรมดาไปจนถึง E85
- ยังไม่แพร่หลายนักในไทย แต่เป็นที่นิยมในต่างประเทศ เช่น บราซิล
กลุ่มที่ 2 : น้ำมันทดแทนน้ำมันดีเซล
ใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล โดยมีส่วนผสมของ ไบโอดีเซล (Biodiesel) ซึ่งผลิตจากน้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์ เช่น น้ำมันปาล์ม มะพร้าว หรือแม้แต่น้ำมันพืชใช้แล้ว
คำว่า B หมายถึง “Biodiesel”
ตัวเลขต่อท้ายคือสัดส่วนของไบโอดีเซลในน้ำมัน
B2
- ผสมไบโอดีเซล 2% กับน้ำมันดีเซล 98%
- ใช้แทนน้ำมันดีเซลได้โดยไม่ต้องปรับแต่งเครื่องยนต์
- เป็นมาตรฐานที่ปั๊มน้ำมันไทยจำหน่ายตั้งแต่ปี 2551
B5
- ผสมไบโอดีเซล 5% กับดีเซล 95%
- รถดีเซลทั่วไปใช้ได้เกือบทั้งหมด
- บางค่ายรถยังไม่แนะนำสำหรับเครื่องยนต์คอมมอนเรลรุ่นใหม่ (ควรตรวจสอบคู่มือรถก่อนใช้งาน)
